เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๙ ธ.ค. ๒๕๖o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๖๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมนะ สัจธรรมนี้เป็นที่พึ่งที่อาศัยได้จริง อย่างในโลกนี้เกิดมา สิ่งมีชีวิตมีคุณค่ามาก สิ่งมีชีวิตมีคุณค่า เราได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงสัจจะความจริงในหัวใจของเรา แต่เพราะเราเข้าถึงสัจจะความจริงไม่ได้ เพราะเรามีอำนาจวาสนาน้อย คำว่า “มีอำนาจวาสนาน้อย” คือเข้าถึงสัจจะความจริงอันนั้นได้ลำบาก

 

แต่คนที่มีอำนาจวาสนานะ เวลาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวได้เป็นพระอรหันต์ คำว่า “ได้เป็นพระอรหันต์” ไม่ใช่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานให้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้เปิดทางให้ แต่ผู้ที่ฟังนั้นเขาต้องมีสติปัญญาของเขา เขาขบธรรมนั้นแตก พอขบธรรมนั้นแตกด้วยสติด้วยปัญญาของเขา ด้วยสติด้วยปัญญาของเขา ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล หัวใจผู้ที่ปฏิบัติถ้าไม่มีมรรคจะไม่มีผล

 

มรรคคืออะไร มรรคคือศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิในหัวใจอันนั้นได้ขบกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของคนคนนั้นได้สิ้นไป ถึงฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวได้เป็นพระอรหันต์ ด้วยการที่เขาสร้างอำนาจวาสนาของเขามามาก คำว่า “สร้างอำนาจวาสนามามาก” เขาได้ประพฤติปฏิบัติของเขา ได้ขวนขวายของเขามา

 

แต่ของเรา เราสร้างของเรามา เราได้เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา บอกถึงมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐๆ ดูสัตว์เดรัจฉานมันก็มีอยู่มีกินเหมือนเรา มันก็กิน มันก็นอน มันก็ขับถ่ายเหมือนมนุษย์นี่แหละ มนุษย์ก็เหมือนกัน ก็กินก็ขับถ่ายเหมือนกัน พอขับถ่ายเหมือนกัน มนุษย์ต่างจากสัตว์ตรงไหน มนุษย์ต่างจากสัตว์ด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยอำนาจวาสนาของคนไง

 

ด้วยอำนาจวาสนาของคน เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาก็ไม่มีพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแตกฉานในธรรมในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นคุณค่าๆ ไง คุณค่าอันนี้ คุณค่าอันนี้ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คุณค่าที่วิมุตติสุขๆ พ้นไปจากกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แล้วปรารถนาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์

 

ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ มาเทศน์ปัญจวัคคีย์ก็ได้พระอรหันต์มา ๕ องค์ มาเทศน์ยสะขึ้นมาก็ได้อีก ๕๕ องค์ นี่เวลาเทศน์รื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ ปรารถนามาตรงนั้น ปรารถนามาให้มนุษย์เราให้มีสติปัญญาสามารถขบกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนให้สิ้นไป ถ้าสิ้นไป นี่ไง ยอดของปรารถนา

 

แต่ของเรา เราทำสิ่งนั้นไม่ได้ เราทำสิ่งนั้นไม่ได้ เราได้ยินได้ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีใครโต้แย้งได้ เวลาแสดงธัมมจักฯ เทวดาส่งข่าวเป็นชั้นๆ ขึ้นไป จักรได้เคลื่อนแล้ว ไม่มีอะไรสามารถขัดแย้งได้ ไม่มีใครสามารถลบล้างได้ ไม่มี

 

แต่เวลาแสดงธรรมๆ ขึ้นมา สัจจะความจริงอันนั้นมันประเสริฐๆ แต่เราเข้าไม่ถึง พอเราเข้าไม่ถึง เราฟังแล้วด้วยเหตุด้วยผล ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยปู่ย่าตายายได้ศึกษามา ร่ำเรียนมา ด้วยประเพณีวัฒนธรรม ก็ได้อบรมบ่มเพาะ อบรมบ่มเพาะพวกเราชาวพุทธ ด้วยวัฒนธรรมของชาวพุทธไง ให้รู้จักเสียสละ ให้รู้จักทำทาน รู้จักมีน้ำใจต่อกัน ให้สังคมร่มเย็นเป็นสุขๆ นั่นมันก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม

 

ถ้าไม่มีธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะเชื่อไหม ถ้าเราไม่เชื่อๆ ไม่เชื่ออะไร ไม่เชื่อเพราะว่าเราอ้างอิงว่าเรามีปัญญา เรามีปัญญายิ่งใหญ่ เรามีปัญญามาก แต่เราไม่เคยศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

 

เวลาไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อ๋อ! พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ด้วยหรือ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ด้วยหรือ เพราะเราไม่เชื่อไง เพราะอะไร เพราะเราฟังมาปากต่อปาก เวลาฟังมาปากต่อปาก ก็พูดถึงนรกสวรรค์ พูดถึงนิทาน พูดถึงชาดกไง พูดถึงชาดกมันเป็นของเก่า ของล้าสมัย ของครึ มันของพ้นสมัยๆ ปัจจุบันโลกนี้เจริญไง แต่ไม่ได้ฟังเลยว่าเวลาครูบาอาจารย์เราที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาพูดถึงวิถีแห่งจิต

 

ดูคอมพิวเตอร์สิ ดูหุ่นยนต์สิ คิดมาๆ ด้วยสติด้วยปัญญา ปัญญาประดิษฐ์ไง ยังสู้สัจธรรมอันนี้ไม่ได้เลย สู้สัจธรรมอันนี้ไม่ได้ ถ้าสู้สัจธรรมได้ ไอน์สไตน์จะพูดหรือว่า ถ้าเขามีสิทธิ์เลือกได้ เขาจะนับถือพระพุทธศาสนา เพราะว่าเขาเองเขาก็มีสติปัญญาของเขามหาศาล มหาศาลนั่นมันมหาศาลเรื่องโลกๆ ไง

 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราว่าปัญญาเรายิ่งใหญ่ ปัญญาเรายิ่งใหญ่เพราะเรายังไม่ได้ศึกษา เรายังไม่มีการกระทำไง เพราะอะไร เพราะอำนาจวาสนาเราน้อย อำนาจวาสนาน้อยเพราะอะไร เพราะมันเห็นเป็นของไร้ค่า ถ้ามันเห็นเป็นของมีคุณค่านะ ถ้าเป็นของมีคุณค่า เราเป็นพ่อเป็นแม่ เรามีลูกมีหลาน เราก็อยากให้ลูกหลานเรามีความสุขๆ มีสัจจะมีความจริง เวลาเราส่งต่อความสุข ส่งต่อเรื่องคุณธรรมในชีวิต เราจะส่งต่อเรื่องอะไร เวลาสอนลูกๆ สอนลูกที่ว่าเป็นความดี มันดีจริงหรือ ถ้ามันดีจริง มันดีจริงอย่างไร มันดีจริงเพราะอะไร เพราะเรายังมืดบอดไง

 

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เป็นแบบนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสว่างไสวในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม เวลาสว่างไสวมา สิ่งที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ แต่เวลาว่า “จะสอนใครได้หนอ มันจะสอนใครได้หนอ” ใครจะมีสติมีปัญญารับรู้ได้อย่างนี้ ใครจะมีสติปัญญาจะย้อนกลับมาเห็นความผิดพลาดของตน แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคอยจับผิดเราๆ ไง จับผิดในความรู้สึกนึกคิดเรา จับผิดในกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจเรานี่ ถ้ามันจับผิดได้ คนเห็นความผิดของตนได้ คนนั้นยิ่งใหญ่

 

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ถึงความผิดพลาดของสัตว์โลก ชี้ถึงขุมทรัพย์ แต่เราไม่ยอมหรอก ใครทำความผิด ทำผิดทางโลก ถ้ามันผิดแล้วมันผิดคดีอาญา มันต้องติดคุกติดตะราง แต่ความคิดผิด คิดผิดในใจ ความเห็นผิดในใจของเรา ถ้าเรามีสติปัญญา เรายับยั้งมันๆ ถ้ายับยั้งในหัวใจของเราได้ ความที่มันจะสุมไฟ สุมไฟในหัวใจของเราไง มันจะมีความทุกข์ความยากขึ้นมาเพราะเราหลงผิด คำว่า “หลงผิด” แต่ว่าหลงผิดด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันว่ามันเห็นถูกไง เพราะตัวตนของเรา เราต้องยิ่งใหญ่ไง เราต้องคิดแต่เรื่องดีๆ ไง ดีๆ ของกิเลส ไม่ใช่ดีของธรรมไง ดีของกิเลสคือกว้านมาเป็นของเราไง

 

ถ้าดีของธรรม ดีของธรรมมันสละออกไง สละออก แม้แต่ชีวิตนี้ยังต้องพลัดพรากเป็นที่สุด เราต้องตายไปข้างหน้า ทุกคนก็รู้ ธรรมะสอนอย่างนั้น ทุกคนก็รู้นะว่าชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แล้วพลัดพรากเป็นที่สุด แต่มันยังไม่ตาย ชีวิตนี้จะอยู่ค้ำฟ้า คนเราไม่คิดว่าจะตายเลยนะ

 

แต่เวลาจะมาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าถ้าใจมันคึกมันคะนองเกินไป ให้กำหนดมรณานุสติ ถ้ากำหนดมรณานุสติ ระลึกถึงความตายนะ ไอ้ที่ว่าเราขาดแคลน ไอ้ที่เรายังไม่ได้ทำ มันปล่อยวางได้ การปล่อยวางได้อย่างนั้นมันก็ไม่สุมไฟในหัวใจของเรา ถ้ามันสุมไฟในหัวใจของเรา นู่นก็ยังไม่ได้ทำ นี่ก็ยังไม่ได้ทำ จะเอาให้ได้ๆ แล้วต้องได้ด้วย แล้วได้ด้วยมันก็ทุกข์มันก็ยากไง

 

เราก็ทำตามหน้าที่ทั้งนั้นน่ะ เวลาพระเราเวลาบวชมา อุปัชฌาย์ บริขาร ๘ นั่นน่ะปัจจัย ๔ ครบสมบูรณ์ บาตรเป็นอาหาร บาตรก็แสวงหามา บิณฑบาตมาเลี้ยงชีพ ผ้าก็เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ก็ รุกฺขมูลเสนาสนํ แล้วถ้ายาก็น้ำมูตรน้ำคูถ นั่นน่ะสิ่งนั้นมันเป็นยารักษาโรคภัย มันเป็นโดยสัจจะเป็นความจริงอยู่แล้ว

 

เราเกิดมาเราเป็นมนุษย์ เราก็ต้องมีปัจจัย ๔ เหมือนกันทั้งนั้นน่ะ ชีวิตนี้มันต้องมีอาหาร ชีวิตนี้ต้องมีที่อยู่อาศัย ถ้าที่อยู่อาศัย เราก็ได้ปากกัดตีนถีบ เราก็ได้ทำของเราสุดความสามารถของเราแล้ว ถ้ามันได้มาด้วยอำนาจวาสนาก็สาธุ ถ้ามันได้ มันขาดแคลนมา เราก็ทำของเราต่อเนื่องไป เราทำของเราไปนะ ด้วยหัวใจที่เป็นธรรมๆ นี่สัจธรรม สัจธรรมเป็นความจริง ความจริงของโลก

 

ถ้าความจริงของธรรมนะ ถ้าความจริงของธรรม เราต้องย้อนกลับมาแล้ว ใครมีอำนาจวาสนา เราเสียสละเสียเวลามาจากบ้านจากเรือนมาอยู่วัดอยู่วา มาประพฤติปฏิบัติ มันต้องเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ถ้ามันยังฮึกมันยังเหิม มันยังทำของมันได้นะ ถ้าสองวันสามวันมันชักเบื่อแล้ว มันทำซ้ำๆ ซากๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ ทำแล้วไม่ได้ประโยชน์ๆ นี่ไง เวลามันขับดันมาในหัวใจ มันต่อต้านทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันเป็นความจริงความจังของเรานะ สิ่งที่มันจะไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนสิ้นกิเลสไปแล้ว สัจจะความจริงในพระพุทธศาสนาถึงที่สุดแห่งทุกข์

 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย นึกว่าเราจะไม่เป็นอย่างนั้นไง เราจะอยู่ค้ำฟ้าไง ถามมหาดเล็กว่าเราต้องเป็นอย่างนั้นไหม เป็น ถ้าเป็นอย่างนั้นมันต้องมีฝั่งตรงข้ามที่ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย

 

แล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายก็เหมือนทางประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ต่างๆ พยายามจะหายาอายุวัฒนะ จะไม่ตาย คำว่า “ไม่ตาย” ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือกิเลสมันตายแล้วมันไม่มีการเกิดอีก ถ้าไม่มีการเกิดอีกมันก็ไม่มีการตาย ถ้ากิเลสมันตายไปแล้ว การเกิดการตายมันก็เป็นสมมุติทั้งนั้นน่ะ

 

เพราะจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะด้วยเวรด้วยกรรมของการกระทำนั้น ถ้าด้วยเวรด้วยกรรมของการกระทำนั้น ที่เรามาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนากันอยู่นี่ มันก็เป็นการกระทำอันหนึ่ง การกระทำด้วยกรรมดีๆ ไง ต้องอาศัยกรรมดีเป็นหนทาง เป็นหนทางที่เราจะบุกเบิกเข้าไปสู่ใจของเรา ถ้าบุกเบิกเข้าไปสู่ใจของเรา ถ้าเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาขึ้นมามันจะเกิดมรรคเกิดผล ถ้าเกิดมรรคเกิดผล มรรคผลนี้มันมาจากไหน มรรคผลนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นองค์แรกที่เป็นผู้รื้อค้นขึ้นมา

 

ธรรมะมันมีอยู่โดยดั้งเดิมๆ มีอยู่โดยดั้งเดิมแล้วใครมีปัญญาล่ะ ถ้าไม่มีปัญญา เราก็กระเสือกกระสนกันอยู่นี้ แต่เรากระเสือกกระสนแล้วเราก็ทำไม่ได้สมความปรารถนาเรา แล้วกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสบังเงาๆ มันก็อ้างธรรมะๆ นั้นน่ะ พออ้างธรรมะนั้น เวลาตกภวังค์ไป เวลามันตกภวังค์ต่างๆ ไป ไอ้นี่มันเป็นอุปกิเลส กิเลสอย่างละเอียดไง

 

เวลาเราทุกข์เรายาก เราทำลำบากลำบน มันก็เป็นกิเลสหยาบๆ กิเลสหยาบๆ ใช่ไหม เวลานั่งสมาธิภาวนา จิตนี้ใส ติดในความว่าง อุปกิเลสทั้งนั้นน่ะ มันก็มีกิเลสอย่างละเอียดให้มาดักหน้า ดักหน้าการกระทำของเรา แล้วเรามีครูบาอาจารย์มาจากไหน ถ้าเราไม่มีครูบาอาจารย์ที่เป็นจริงขึ้นมา มันก็สม สมเพราะวุฒิภาวะเราอ่อนแอ อ่อนแอก็ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง สอนให้ไปสู่สัจจะความจริงที่เวิ้งว้าง ความว่างอันนั้น ความว่างที่ขาดสติ ความว่างที่ขาดปัญญา ความว่างที่ขาดสติขาดปัญญามันเป็นความว่างของกิเลสบังเงา อ้างธรรมะๆ แต่ไม่เป็นธรรมๆ ไง เพราะมันขาดครูบาอาจารย์ ขาดที่พึ่งอาศัยที่เป็นจริงไง ถ้าที่พึ่งที่อาศัยที่เป็นจริง ครูบาอาจารย์ท่านจะย้อนกลับมาเลย ย้อนกลับมาให้อยู่กับผู้รู้ๆๆ

 

ว่างๆ ใครเป็นคนว่าว่างล่ะ อวกาศมันว่าง สิ่งที่เป็นอากาศมันไม่มีชีวิต มันไม่มีจิตวิญญาณ มันก็ว่างของมันอยู่ ไม่เห็นใครได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย แต่ถ้ามันเป็นความว่างของเรา ความว่างของเราก็เป็นการปล่อยวางกิเลสชั่วคราว เวลามีความคิด ความคิดที่มันขับดันในหัวใจเป็นความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ ถ้าเรามีสติปัญญาควบคุมดูแลแล้ว ถ้ามันปล่อยวางขึ้นมา มันต้องมีสติ มีสติสัมปชัญญะแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามันจะยกขึ้นสู่วิปัสสนาด้วยความเป็นจริงนะ มันจะเกิดความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์ของใจดวงนั้นเลย ใจของเรานี่

 

โธ่! พระเรานะ เวลาสวดมนต์สวดพร ดูพระที่ท่องพระไตรปิฎกทั้งตู้ได้ ท่องได้มันก็เป็นความมหัศจรรย์นะ สิ่งที่ท่องได้ๆ แต่ถ้าพอมันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาที่มันเกิดขึ้นจากการภาวนา ปัญญาที่เกิดขึ้นจากจิต อู้ฮู! มันจะมหัศจรรย์ๆ เพราะความมหัศจรรย์อย่างนั้นมันเป็นทรัพย์สมบัติ ทรัพย์สมบัตินี่อัตตสมบัติ สมบัติของใจ ใจที่มันไปประสบไปพบเห็นขึ้นมา มันจะเห็นสัจจะความจริงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันเห็นสัจจะ ธรรมะ ความจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้ถึงเป็นของจริง ของจริงของใคร ของจริงของใจดวงนั้นที่พยายามรื้อค้นขึ้นมา

 

ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิมๆ แล้วเอาจอบเอาเสียมที่ไหนไปขุดมันขึ้นมาล่ะ เขาทำไร่ทำนาเขามีจอบมีเสียม เขาพรวนดินทำไร่ไถนาของเขาได้ผลิตผลของเขาขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน ดูสิ ลูบๆ คลำๆ ลูบๆ คลำๆ มันใช่อะไรของมันขึ้นมาล่ะ

 

ถ้ามันมีสติ มีสมาธิ มีปัญญา ขุดค้นมันลงไป การทำลงไป มันจะขุดค้นขึ้นมา มันจะเกิดผลประโยชน์ขึ้นมาจากจิตของเรา แล้วใครเป็นคนรู้ ก็ภวาสวะ ภพอันนั้นน่ะ สถานะที่ความรับรู้ในใจนั้นมันเป็นผู้รับรู้ ผู้รับรู้มันไปขุดไปค้นขึ้นมา มันเกิดสติเกิดปัญญาขึ้นมา ที่มันเกิดความมหัศจรรย์ มหัศจรรย์อย่างไรล่ะ

 

โดยธรรมชาติ สมมุติบัญญัติ มนุษย์เกิดมามีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ มีความรู้สึกนึกคิดเหมือนกัน มีภาษาแตกต่างกัน แต่มีความปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์เหมือนกัน นี่ไง มันเป็นสมมุติ ธรรมชาติมันมีอยู่แล้ว ธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ ธาตุรู้ๆ ธรรมชาติที่รู้ รู้อะไร รู้สิ่งที่ถูกรู้ รู้อารมณ์ไง รู้ความคิดไง ธรรมชาติที่รู้มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้น แล้วมันคิดได้ไหม ก็คิด แต่คิดอย่างไรล่ะ นี่ไง นี่พูดถึงว่าถ้าเป็นสมมุติบัญญัติคือคิดโดยสัจธรรม สัจธรรมที่ความเป็นมนุษย์ เป็นปุถุชนไง

 

สมาธิของปุถุชน เวลาบอกว่าปุถุชนๆ ปุถุชน กัลยาณปุถุชน กัลยาณปุถุชนทำความสงบของใจมากขึ้น ยกขึ้นวิปัสสนาขึ้น เวลามันเกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญาที่เกิดภาวนามยปัญญา เกิดมรรคเกิดผล ครูบาอาจารย์เราเวลามรรคปัญญามันหมุนติ้วๆ ปัญญามันหมุน มันหมุนที่ไหน แล้วหมุนอย่างไร แล้วมันเกิดที่ไหน

 

ปัญญาก็โรงงานอุตสาหกรรมไง ดูสิ มันหมุนของมันนั่นน่ะ ออกมาเป็นเงินเป็นทองทั้งนั้นน่ะ นั่นเรื่องโลกๆ ทั้งนั้นเลย กิเลสมันบังเงา

 

แต่ถ้าเป็นความจริงๆ มันต้องเป็นสัจจะเป็นความจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงของเรา สาธุ! พระไตรปิฎกเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของครูบาอาจารย์ก็เป็นของท่าน ถ้าของมันเกิดกับใจของเรา นี่ของเรา แล้วของเรามันถึงมีอิทธิฤทธิ์อภินิหารจะตัดกิเลสของเรา กิเลสของเรา ความทุกข์ของเรา เราเป็นคนเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ามันหายมันควรหายที่เรา ไม่ใช่หายที่หมอ ไม่ใช่หายที่คนอุปัฏฐากอุปถัมภ์ ถ้ามันจะหายมันควรหายที่ใจของเรา แล้วที่ใจของเรามันหาย มันหายอย่างไรล่ะ

 

เวลาคนไข้ไปหาหมอ หมอต้องให้ยาใช่ไหม หมอต้องผ่าตัดใช่ไหม ต้องดูแลรักษาใช่ไหม ไอ้นี่ของเรา ศีล สมาธิ ปัญญาที่มันจะขุดค้นอยู่ที่ไหน แล้วมันจะรักษาอย่างไร แล้วจะเป็นความเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมาได้อย่างไร ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ถ้ามีความรู้ความเห็นอย่างนี้มันยิ่งมหัศจรรย์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

 

เราเป็นชาวพุทธนะ เรามีรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง รัตนตรัยของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณรู้รอบขอบชิดทั้งหมดเลย ฉะนั้น เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม ธรรมะๆ ที่เหตุและผลที่เราศึกษาแล้ว ศึกษาเป็นทฤษฎีนั่นก็เรื่องหนึ่ง เวลาประพฤติปฏิบัติก็เป็นความจริงขึ้นมาอีกเรื่องหนึ่ง เวลาปฏิบัติขึ้นมาเป็นความจริง โอ๋ย! สาธุๆ แล้วผู้ที่มีคุณธรรมในใจอย่างนี้จะไม่เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไปเห็นความที่มันมหัศจรรย์ลึกซึ้งขนาดที่มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่มันก็เป็นไปได้ แล้วทำไมเราจะไม่เห็นบุญเห็นคุณของคนที่รื้อค้น ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีบุญมีคุณขนาดไหน มันลึกซึ้งในหัวใจของเราขนาดนั้นน่ะ ถ้ามันขนาดนั้นน่ะ นี่สัจจะความจริงๆ แล้วเวลาเป็นความจริงขึ้นมามันก็เป็นความจริงของเรา

 

ถ้าไม่เป็นความจริงของเรา มันไม่สามารถฆ่ากิเลสในใจเราได้ ถ้ามันไม่สามารถฆ่ากิเลสในใจเราได้ มันก็เป็นการลูบๆ คลำๆ ทั้งนั้นน่ะ มันเป็นกิเลสบังเงา กิเลสมันเอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาอ้างอิง แล้วเราก็เออออห่อหมกไปกับมัน ถึงที่สุดเวลามันคายพิษมามีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ มันไม่เป็นความจริงขึ้นมา

 

ถ้าเป็นความจริงขึ้นมา เราต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สมควรแก่ธรรมก็แบบเรา เราทำของเราให้เป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันเป็นความรู้สึกภายใน ใครจะมาขโมย ใครจะมาช่วงชิง เป็นไปไม่ได้ มันอยู่ในใจของเราทั้งสิ้น ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่ว เป็นสมบัติของเรา เอวัง